Tuesday, September 17, 2013

ความสัมพันธ์ระหว่าง GIS กับ Web Service และความเสี่ยงด้าน IT

ระบบ GIS(Geographic Information System) หรือ ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ เป็นระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งประกอบด้วย ซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และข้อมูล รวมถึงบุคลากรซึ่งช่วยในการจัดเก็บ รวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล และนำเสนอสารสนเทศซึ่งผูกติดกับตำแหน่งในเชิงพื้นที่ และแผนที่ใน GIS จะมีความสัมพันธ์กับตำแหน่งในเชิงพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ คือค่าพิกัดที่แน่นอน ข้อมูลใน GIS ทั้งข้อมูลเชิงพื้นที่และข้อมูลเชิงบรรยาย สามารถอ้างอิงถึงตำแหน่งที่มีอยู่จริงบนพื้นโลกได้โดยอาศัยระบบพิกัดทางภูมิศาสตร์ (Geocode) ซึ่งจะสามารถอ้างอิงได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ข้อมูลใน GIS ที่อ้างอิงกับพื้นผิวโลกโดยตรง หมายถึง ข้อมูลที่มีค่าพิกัดหรือมีตำแหน่งจริงบนพื้นโลกหรือในแผนที่ เช่น ตำแหน่งอาคาร ถนน ฯลฯ


ความสัมพันธ์ระหว่าง GIS กับ Web Service
เราสามารถพัฒนาระบบ GIS ให้เป็น Web Service เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการพัฒนาประเทศได้มากมายหลายระบบ เช่น ระบบช่วยตัดสินใจในการสร้างสาธารณูปโภค, ระบบช่วยในการวินิจฉัยโรคที่เกิดจากสภาพภูมิประเทศ, ระบบช่วยวิเคราะห์ข้อมูลด้านการเกษตร เป็นต้น
1. ระบบช่วยตัดสินใจในการสร้างสาธารณูปโภค
มีการเก็บข้อมูลจำนวนประชากรในพื้นที่ต่าง ๆ รวมทั้งจุดที่มีสาธารณูปโภคต่าง ๆ เช่น ประปา ไฟฟ้า ถนน โรงเรียน อนามัย ว่าเพียงพอกับประชาชนในพื้นที่หรือไม่ ควรสร้างอะไรเพิ่มเติมขึ้นบ้าง และการนำ web service มาใช้ก็อาจจะใช้นำข้อมูลที่มีอยู่เชื่อมต่อกับ Google Map เพื่อแสดงข้อมูลเชิงพื้นที่ โดยอาจจะดูภาพทั้งในแบบแผนที่ หรือ ดาวเทียม ซึ่งข้อมูลที่ได้ก็จะช่วยในการตัดสินใจของฝ่ายบริหารประเทศได้เป็นอย่างดี

2. ระบบช่วยในการวินิจฉัยโรคที่เกิดจากสภาพภูมิประเทศ
สำหรับงานด้านวิทยาศาสตรการแพทย์แล้วถือว่ามีประโยชน์อย่างมาก สำหรับข้อมูลที่ช่วยบอกได้ว่าในแต่ละพื้นที่นั้น ๆมักจะเกิดโรคอะไรได้บ้าง ข้อมูลตรงนี้ก็จะช่วยในเรื่องของการป้องกันและเตรียมพร้อมในการรักษาโรคที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ การนำ web service มาใช้ในการพัฒนาระบบ อาจจะมีการเชื่อมโยงข้อมูลกับศูนย์แพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคในพื้นที่นั้น ๆคอยออกบริการรักษาคนไข้ หากมีคนเจ็บป่วยก็สามารถที่จะเข้าไปรักษาได้อย่างทันท่วงที หรือ สามารถที่จะส่งข้อมูลคนไข้ เชื่อมกับระบบของคลีนิคเพื่อสั่งจ่ายยา และจัดส่งไปให้คนไข้ที่บ้านได้โดยไม่ต้องไปที่โรงพยาบาล
3. ระบบช่วยวิเคราะห์ข้อมูลด้านการเกษตร
ประเทศไทยถือได้ว่าเป็นประเทศเกษตรกรรมเสียส่วนใหญ่ การมีระบบที่ช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลด้านการเกษตรจะช่วยให้เกษตรกรสามารถที่จะรู้ได้ว่าพื้นที่ของตนนั้น ควรจะปลูกพืช หรือ ทำเกษตรเกี่ยวกับด้านใด ถึงจะได้ผลผลิตที่ดี สามารถบอกได้ว่าแต่ละพื้นที่มีดินประเภทใดบ้าง พืชที่เกิดหรือยู่ในได้ดีบนดินประเภทนั้นมีอะไรบ้าง ยกตัวอย่าง ต้นยางพาราสมัยก่อนมีความเชื่อว่าภาคอีสานไม่สามารถปลูกและโตได้ดี ก็เลยไม่มีเป็นที่นิยม และต้นยางพารางต้องใช้ระยะเวลานานในการเก็บเกี่ยวผลผลิตจากน้ำยาง หากไม่มีข้อมูลสารสนเทศที่เข้ามาช่วยก็ยากที่จะทำให้เกษตรกรทางภาคอีสานหันมาปลูกได้ แต่ในปัจจุบันเราเห็นแล้วว่าภาคอีสานนั้นปลูกยางได้ดีไม่แพ้ภาคอื่นเลย การพัฒนาระบบ GIS ตรงนี้ก็จะช่วยให้เกษตรสามารถที่จะตัดสินใจได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ เราสามารถที่จะพัฒนา Web Service ให้เชื่อมกับบริษัทภายนอกที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้านการเกษตรได้ หากเกษตรกรสนใจเพาะปลูกพืชก็เชื่อมกับระบบ e-commerce สั่งซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านั้นและชำระเงินผ่านะระบบ payment gateway ได้เลย เกษตรกรก็เพียงแค่รอรับสินค้าที่บ้าน เช่น การสั่งซื้อต้นยางมาปลูก เป็นต้น

ความเสี่ยงด้าน IT ของระบบ GIS ทั้ง 3 ระบบที่กล่าวมา
1. ความไม่พร้อมในการใช้งานระบบ อาจจะเกิดจากหลาย ๆสาเหตุ เช่น การขาดความรู้ความเข้าใจการใช้งานระบบ หรือ ระบบมีการใช้งานยาก ไม่ friendly เท่าที่ควร
2. ความน่าเชื่อถือและความแม่นยำของข้อมูล หากมีการให้ข้อมูลไม่ถูกต้องทำให้ระบบนำข้อมูลไปประมวลผลได้ไม่ถูกต้อง อาจจะสร้างความเสียหายกับผู้นำไปใช้งานได้
3. การถูกขโมยข้อมูล หรือ การถูกบุกรุกจากผู้ไม่ประสงค์ดี อาจจะเข้าไปสร้างความเสียหายให้กับข้อมูลในระบบได้ ควรมีการสร้างระบบกำหนดสิทธิ์ และ การเข้ารหัสข้อมูลที่จำเป็น
4. ข้อมูลด้านภูมิศาสตร์มีการเปลี่ยนแปลง อาจจะเกิดจากทั้งธรรมชาติ หรือ โดยมนุษย์ และระบบไม่มีการปรับปรุงข้อมูลใหม่ตาม
5. ไม่มีผู้รับผิดชอบ หากข้อมูลที่เก็บมาผิดพลาด เมื่อมีการใช้งานจริงควรกำหนดให้มีผู้รับผิดชอบ เพื่อให้สามารถสร้างระบบ GIS ที่ให้ข้อมูลสารสนเทศที่ถูกต้อง

No comments:

Post a Comment