Tuesday, September 24, 2013

Information Techonology จะมีผลต่อเรื่อง Marketing for Education ในอนาคตอย่างไรบ้าง

Marketing 3.0 คือการตอบสนองลูกค้าที่เหนือกว่าคุณสมบัติของสินค้าและคุณค่าทางอารมณ์ (Functional & Emotional Values) และยังรวมถึงการเพิ่มคุณค่าทางจิตวิญญาณ (Spiritual Value) เข้าไปด้วย พูดง่ายๆ คือการได้ใจผู้บริโภคยุคใหม่ นักการตลาดต้องตอบโจทย์ความต้องการทั้ง (Mind, Heart & Spirit) เข้าด้วยกันในคราวเดียวสำหรับการตลาดในยุคที่ 3 นี้ สืบเนื่องจากการเติบโตของเทคโนโลยีในระดับผู้บริโภคและพัฒนาการของรูปแบบการสื่อสารทำให้ผู้บริโภคสามารถเชื่อมโยงและสื่อสารกันผ่าน Online Technology ได้สะดวกรวดเร็ว หลากหลายช่องทางส่งผลให้เกิดเครือข่ายที่ใหญ่และซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆในโลกออนไลน์ ในขณะเดียวกันผู้บริโภคต่างก็มีการสร้างเครือข่ายทางสังคมของตัวเองขึ้น มีพฤติกรรมในการเลือกเครื่องมือ เลือกช่องทาง ที่แตกต่างกันออกไป จนถึงสามารถที่จะสร้างช่องทางการสื่อสารแบบใหม่ๆขึ้นมา เพื่อจะเลือกเปิดรับสารและสื่อสารที่มีความเฉพาะของตัวเอง ปรากฏการณ์เหล่านี้กำลังเข้ามาฉีกตำราพฤติกรรมการบริโภคที่เคยเรียนรู้ และจะพลิกโฉมหน้าของรูปแบบการดำเนินธุรกิจครั้งใหญ่เนื่องเพราะ ในช่วงเวลาเพียงคลิกนิ้ว กิจการที่ปรับตัวหรือไหวตัวไม่ทันหรือชื่อของหลายๆบริษัทที่เคยรั้งตำแหน่งผู้นำ ก็อาจหล่นไปอยู่ท้ายตารางก่อนที่ผู้บริหารจะรู้ตัวว่าก้าวพลาดตรงไหนเสียอีก ซึ่งมีบริษัทยักษ์ใหญ่จำนวนมากต่างเผชิญความท้าทายนี้มาแล้ว ดังเหตุการณ์ที่พบเห็นทั่วไปจากสื่อระดับโลกในห้วงระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา ที่นำเสนอข่าวของเศรษฐีเกิดใหม่และบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ถูกน๊อกจนไปรั้งอยู่ท้ายกระดานและกำลังหาทางกลับคืนสู่สังเวียน และอีกจำนวนไม่น้อยที่กำลังลูกผีลูกคน หรือรอถูกกลืน

ตารางเปรียบเทียบ Marketing แต่ละยุค

การตลาดยุคที่ 1.0 เป็นการตลาดที่ยึดตัวสินค้าเป็นหลัก การตลาดยุคที่ 2.0 เป็นการตลาดที่ยึดถือผู้บริโภคเป็นจุดศูนย์กลาง การตลาดยุคที่ 3.0 เป็นการตลาดที่ขับเคลื่อนตามค่านิยม
1. วัตถุประสงค์ ขายสินค้า สร้างความพึงพอใจและรักษาลูกค้าไว้ตลอดไป ทำให้โลกเป็นสถานที่ที่น่าอยู่ขึ้น
2. แรงขับเคลื่อนที่สำคัญ การปฏิวัติอุตสาหกรรม เทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีคลื่นลูกใหม่
3. บริษัทมองการตลาดอย่างไร ผู้บริโภคส่วนใหญ่มีความต้องการทางด้านกายภาพ ผู้บริโภคฉลาดกว่าด้วยความคิดและจิตใจ ผู้บริโภคมีความคิด จิตใจ และ วิญญาณ
4. แนวคิดหลักทางด้านการตลาด การพัฒนาสินค้า การสร้างสินค้าให้มีความแตกต่าง ค่านิยม
5. แนวทางปฏิบัติของการตลาดที่ธุรกิจนำมาใช้ การกำหนดลักษณะจำเพาะของสินค้า การวางตำแหน่งขององค์กรและผลิตภัณฑ์ พันธกิจ วิสัยทัศน์ และ ค่านิยมขององค์กร
6. คุณค่าของสินค้า ใช้งานได้ตามหน้าที่ ใช้งานได้ตามหน้าที่และเกิดความพึงพอใจทางด้านอารมณ์ ใช้งานได้ตามหน้าที่, เกิดความพึงพอใจทางด้านอารมณ์ และเติมเต็มทางจิตวิญญาณ
7. การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้บริโภค หนึ่งต่อหลายคน หนึ่งต่อหนึ่ง ความร่วมมือกันระหว่างกลุ่มคนหลายคน


การศึกษา 3 ยุค



การศึกษายุค 1.0 เป็นการศึกษาแบบ “อุตสาหกรรม”ผลิตคราวละมากๆ/ห้องเรียนแออัด/ยัดเยียดให้จําเนื้อหา มากกว่าความคิดที่แตกฉาน ครูสร้างหลักสูตรแบบ “คิดแทนผู้ใช้บัณฑิต” ถ้าคิดตรงกันข้ามกับครูก็สอบตก สอนแบบเหมาโหล สอนครบตาม KPI ครูพ่นน้ําลายอยู่หน้าห้อง
การศึกษายุค 2.0 เรียนรู้วิธีเรียนรู้ (Learn how to learn) ศึกษาแนวธรรมชาติ/เก่งอย่างเดียวไม่พอต้องเป็นคนดีใฝ่ดี/ให้ความรักก่อนให้ความรู้/สอนแบบช่างตัดเสื้อเฉพาะตัว/สอนนอกเรื่อง สอนชีวิต/เรียนตามอัธยาศัย เปิดเวทีเปิดสนาม เปิดพื้นที่ครูเป็นพี่เลี้ยง
การศึกษายุค 3.0 เป็นการศึกษาที่เจาะเข้าไปที่ปรัชญาชีวิต เป็นการตอบคําถามว่า“เกิดมาเพื่ออะไร” “เกิดมาทําไม”แสวงหาการหลุดพ้น หาความหมายของชีวิต สะสมบุญ สะสมอริยทรัพย์ การพัฒนามิติของจิตวิญญาณ การเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์เป็นเรื่องจําเป็นอย่างยิ่งยวด

ตารางเปรียบเทียบ Education แต่ละยุค

การศึกษายุค 1.0


• คนเก่งเป็นคนสําคัญ
• ครูบอกเด็กต้องทําตาม/ครู”คิดแทนทุกคนในโลก”
• ใช้ความ”กลัว”เป็นเครื่องมือรักษาความสงบ
ยึดพื้นที่ในห้องเรียน ปิดพื้นที่การเรียนรู้
• ยัดเยียดข้อมูล อัดเนื้อหา
ครูตัดเกรดผู้เรียนตามเนื้อหาสาระที่กําหนด
• เรียนในห้องเรียน/สอนแบบบรรยาย/เน้นจําได้/ทําได้/ทําครบ/
เด็กต้องไม่สร้างปัญหา เชื่อฟังโดยสงบ ห้องเรียนเป็นห้องขัง
• ใช้ปัญญาฐานเดียว/สมองซีกซ้าย/บ้าท่องจํา บ้าตัวเลข
บ้าเหตุผล ขาดน้ําใจ
• Competency-based Education
• แก้ปัญหาแบบเดิมๆ มีปัญหา มีโจทย์บ้าสถิติบ้าตัวเลข
เน้นผลลัพธ์ (Output)
• ใช้ข้อสอบปรนัย มีตัวเลือกจํากัด
ถ้าคนเรียนตอบแบบเอาใจผู้สอนจะได้เกรดเอ

การศึกษายุค 2.0


• คนเก่งและคนดีเป็นคนสําคัญ
• ครู/เด็ก/ผู้ใหญ่/สื่อ ฯลฯ เรียนรู้ไปด้วยกัน ลงมือทํา แลกเปลี่ยน ครูเป็นผู้อํานวยความสะดวก ช่วยให้เกิดการเรียนรู้
• “ให้ความรักก่อนให้ความรู้”เปิดเวทีเปิดสนาม เปิดพื้นที่การเรียนรู้
• ใช้วงจรการเรียนรู้“คุย คิด คลิก คลํา” สังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้
• เรียนที่ไหนก็ได้เน้นกระบวนการเน้นผลสัมฤทธิ์ (Outcome) ฝึกนิสัยใฝ่รู้กล้าคิด กล้าทํา กล้าทดลอง แยกแยะถูกผิด
• Community-based Education
• ใช้ปัญญาหลายฐาน ฐานกายลงมือทําจนเป็นทักษะฐานใจ จิตปกติจิตอาสาฐานคิด คิดรอบ ซ้ายขวา/หน้า/หลัง
• ไม่มีปัญหา มีแต่”หัวข้อวิจัย”รู้ร่วมกัน เรียนร่วมกันแลกเปลี่ยนความรู้กัน
• ผู้เรียนออกข้อสอบเอง ตั้งโจทย์เอง ช่วยกันเรียนรู้ร่วมคิด ร่วมทํา ครูและศิษย์เรียนรู้ร่วมกัน

การศึกษายุค 2.0


• มีสติต่อเนื่อง มีคุณธรรม มีปัญญา คนที่มีความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ คนที่เป็นผู้นําทางจิตวิญญาณเป็นคนสําคัญ
• ใช้สติปัญญาเป็นผู้นํา ใช้ธรรมนําหน้า เรียนแล้วลดโลภ โกรธ หลงได้แค่ไหน
• รู้จักอดทน ข่มกลั้น เสียสละ สงบ ระงับ
• เรียนรู้ตลอดชีวิตธรรมะคือหัวใจของการเรียนรู้เรียนรู้เพื่อจะได้พ้นทุกข์
• “สติมา ปัญญาเกิด”“ธรรมะ จัดสรร”เน้นการเรียนรู้ไตรสิกขา (ศีล สมาธิ ปัญญา) เชิงประจักษ์ (ไม่ใช่ท่องจํา) ควบคุมอารมณ์ ทําทาน รักษาศีล ภาวนา รู้จักการพ้นทุกข์แบบฆราวาส
• ใช้ไตรสิกขา อิทธิบาท 4 (ฉันทะ,วิริยะ, จิตตะ, วิมังสา) พละ 5 (ศรัทธา/วิริยะ/สติ/สมาธิ/ปัญญา) โภชฌงค์ 7 (สติ/ธัมมะวิจยะ/วิริยะ/ปิติ/ปัสสัทธิ/สมาธิ/อุเบกขา)
• Spirituality-based Education
• แก้ปัญหาด้วยหลักธรรม ค้นหาคําตอบของชีวิต กายผ่อนคลายจิตสงบ ปัญญาเกิด ใช้สติไม่อคติไม่ลําเอียงแยกแยะถูกผิด อะไรดีอะไรงามอย่างแยบคาย
• สอบตนเอง ทบทวนตนเอง (ขาดสติไหม? รู้จักอดทน ข่มกลั้นเสียสละได้ไหม?)
• เป็นมนุษย์ที่มีภูมิจิต ภูมิธรรมสูง ลดโลภ โกรธ หลง พ้นทุกข์ด้วยปัญญา สร้างปัญญา สร้างความดีเพื่อพ้นทุกข


การศึกษายุค 3.0(Education 3.0)

Education 3.0 คือ แนวคิดทางการเรียนรู้ใหม่ล่าสุดที่ทั้งสถาบันการศึกษาและผู้เรียนสามารถเชื่อมต่อถึงกันอย่างซับซ้อนผ่านเครือข่ายเน็ตเวิร์กได้จากทุกสถานที่ในทุกเวลา ในขณะที่เทคโนโลยีการเรียนรู้แบบต่างๆ ทั้งการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ ตลอดจนการเรียนรู้เทคโนโลยีเสมือนจริง (Immersive Learning) จะก้าวเข้ามามีบทบาทในการประสานกระบวนการเรียน การสอนในสถาบันการศึกษาจริงและการเรียนรู้ทางไกลทั้งในปัจจุบันและอนาคต การเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีเสมือนจริง เป็นแนวคิดใหม่ที่ท้าทายการเรียนการสอนแบบออนไลน์ โดยการจำลองสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ลักษณะเกือบเหมือนจริงทุกอย่าง เช่น ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมทดลองในห้องแล็บของสถานศึกษาจริง แต่ผู้เรียนอยู่คนละสถานที่รวมทั้งเลือกวันเวลาที่จะเข้ามามีส่วนร่วมได้สะดวกในลักษณะออนดีมานด์ โดยแนวคิดที่กำลังพัฒนาขึ้นนี้จะช่วยลดช่องว่างของการเรียนการสอนออนไลน์แบบเดิมที่ผู้เรียนไม่ได้มีส่วนร่วมกับหลักสูตรเท่าที่ควร ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ผู้บริหารไอทีในสถาานศึกษา หน่วยงานรัฐ ตลอดจนนักวิจัย และครูอาจารย์ในอนาคตจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจในพื้นฐานทางเทคโนโลยี ที่มีผลต่อสภาพแวดล้อมทางการศึกษา แนวคิดและรูปแบบใหม่ และปรับใช้เทคโนโลยีทั้งในด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เพื่อประโยชน์ด้านการศึกษาและมีแนวโน้มเน้นไปที่การสนับสนุนการทำงานร่วมกันในแบบออนไลน์ การแชร์ความรู้ร่วมกันหมู่ที่เรียน

เนื่องจากในขณะนี้การศึกษาไม่ได้จำกัดอยู่ในตำราและสถานศึกษาเพียงอย่างเดียว แต่สามารถที่จะหาข้อมูลและเชื่อมต่อประสานกันในการเรียนรู้ผ่านซอฟต์แวร์ Education 3.0 ที่เชื่อมโยงประสานระหว่างสถานศึกษา และชุมชนของการเรียนรู้ ตลอดจนตัวผู้เรียนเอง โดยผ่านเน็ตเวิร์กและทูลแบบโอเพ่นซอร์สการเรียนการสอนผ่านเว็บ และคอนเทนต์เนื้อหารายวิชาแบบเปิดกว้างแต่มีการจัดการอย่างเป็นระบบ
ตัวอย่างที่สำคัญและชัดเจนก็คือ การจัดการเรียนการสอน ได้เปลี่ยนรูปแบบไปจากเดิมที่อาจารย์จะเป็นต้นตอความรู้เพียงหนึ่งเดียว แต่ปัจจุบัน อาจารย์ กลายมาเป็น ผู้ประสานและกำหนดทิศทางของความรู้ที่ได้จากการเข้าถึงแหล่งข้อมูลความรู้ต่างๆ เช่น หนังสือเรียน ห้องสมุด ข้อมูลชุมชน สื่อสารมวลชน ฐานข้อมูลออนไลน์ไปจนถึงเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

ช่องทางการสื่อสารและการเรียนรู้ในการศึกษายุคที่ 3.0
• Social networking — ตัวอย่างเช่น MySpace, Facebook, LinkedIn และ Friendster รวมถึงการวิเคราะห์เครือข่ายสังคม
• Social collaboration — ตัวอย่างเช่น wikis, blogs, instant messaging, collaborative office, และ crowdsourcing.
• Social publishing — เทคโนโลยีช่วยเป็นถังที่เก็บสื่อของสังคม ตัวอย่างเช่นYouTube ,Picasa, flickr
• Social feedback — ใช้รับฟังความคิดเห็นของสังคม ตัวอย่าง เช่น YouTube, flickr, Digg, Del.icio.us, และ Amazon.
• ใช้ประโยชน์ในวงการธุรกิจการค้าในเรื่อง การตลาด CRM การสื่อสารระหว่างกัน การทํางานร่วมกัน.

องค์ความรู้มีเกิดใหม่และมากมาย
• เป้าหมายของการเรียนรู้มิใช่ตัวความรู้อีกต่อไป เพราะตัวความรู้นั้นมีมายมายมหาศาลเกินกว่าที่จะมอบให้นักเรียนแต่ละชั้นปีได้
• นักเรียนในยุคใหม่มีหนทางค้นหาความรู้ด้วยตนเองจากทุกหนแห่งทั้งในสิ่งแวดล้อมและอินเทอร์เน็ต

พัฒนาให้เรียนรู้ได้เองตลอดชีวิต
• การศึกษาไทยยังเน้นการส่งต่อความรู้
• ต้องพัฒนาเด็กและเยาวชนให้เป็นผู้ใฝ่เรียนรู้ตลอดชีวิต
• เด็กและเยาวชนจะเรียนรู้อะไรบ้างขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละคน
• ทุกคนควรมีความสามารถในการเรียนรู้ตลอดเวลา ตลอดชีวิตและพัฒนาตนเอง


Information Technology มีผลต่อ Marketing for Education ดังนี้

ผู้บริหารไอทีในสถานศึกษา หน่วยงานรัฐ ตลอดจนนักวิจัย และครูอาจารย์ในอนาคตจำเป็นจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในพื้นฐานทางเทคโนโลยีปัจจุบัน ที่มีผลต่อสภาพแวดล้อมทางการศึกษา แนวคิดและรูปแบบใหม่นี้จะเรียกว่า Education 3.0 โดยมีพื้นฐานมาจาก แนวคิด Web 2.0 ที่ปรับใช้เทคโนโลยีในด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เพื่อประโยชน์ด้านการศึกษาและมีแนวโน้มเน้นหนักไปที่การสนับสนุนการทำงานร่วมกันในแบบออนไลน์ การแบ่งความรู้ร่วมกันในกลุ่มผู้เรียน โดยขณะนี้มีความพร้อมและการเติบโตมากับเทคโนโลยีเครือข่ายอย่างระบบอินเทอร์เน็ต ที่กลุ่มผู้เรียนมีความพร้อมในเทคโนโลยีดังกล่าว และกำลังเรียกร้องการเรียนที่ตอบสนองต่อการใช้งานผ่านเครือข่ายเน็ตเวิร์กมากขึ้น

เทคโนโลยีสารสนเทศถือว่าเข้ามามีบทบาทสำคัญด้านการศึกษาอย่างมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะเมื่อมีการนำกลยุทธ์ Marketing 3.0 มาประยุกต์ใช้กับสถาบันการศึกษา มีส่วนที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถที่จะติดต่อสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูล ผ่านทาง social media ต่าง ๆ เช่น facebook, twitter เป็นต้น มีการตั้ง community หรือ group ในการสนทนาเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน ระหว่างผู้เรียนด้วยกัน หรือ ต่างสถาบัน เกี่ยวกับการเรียนการสอนของสถาบันการศึกษาได้นั้น ๆ นอกจากนี้ การนำหลักสูตรต่าง ๆของสถาบันการศึกษาขึ้นเผยแพร่ Online บน Social Media ต่าง ๆนั้น ทำให้ผู้ที่ต้องการสามารถเข้าถึงตัวหลักสูตรตัวนั้นและเสนอแนะในสิ่งที่ผู้เรียนหรือนักศึกษาสนใจและอยากที่จะเขียนข้อความเสนอแนะ ทำให้สถาบันนั้นสามารถเข้าถึงและรับทราบความต้องการเพื่อนำไปทำการปรับปรุงแก้ไขหรือทำการเพิ่มเติม เพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้เรียนให้มากที่สุด ทั้งนี้ยังใช้ในการเรียนการสอนได้อีกด้วย เช่น การส่งการบ้าน การส่งงานผ่าน Social Media ที่ผู้เรียนนั้นได้ใช้งานเป็นประจำอยู่แล้ว ทั้งนี้คือการปรับตัวไปตามสมัยและเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงตัวผู้เรียนได้มากยิ่งขึ้น

เทคโนโลยีมีส่วนสําคัญต่อการศึกษา
• ข้อมูลข่าวสาร ความรู้มีมาก (Information cloud)
• ช่วยเข้าถึงความรู้ได้ง่าย เร็ว ต้นทุนต่ํา (Accessibility and Visibility)
• สื่อสารได้สองทิศทาง เชื่อมต่อได้ง่าย (Connectivity and Social network)

Tuesday, September 17, 2013

ความสัมพันธ์ระหว่าง GIS กับ Web Service และความเสี่ยงด้าน IT

ระบบ GIS(Geographic Information System) หรือ ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ เป็นระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งประกอบด้วย ซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และข้อมูล รวมถึงบุคลากรซึ่งช่วยในการจัดเก็บ รวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล และนำเสนอสารสนเทศซึ่งผูกติดกับตำแหน่งในเชิงพื้นที่ และแผนที่ใน GIS จะมีความสัมพันธ์กับตำแหน่งในเชิงพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ คือค่าพิกัดที่แน่นอน ข้อมูลใน GIS ทั้งข้อมูลเชิงพื้นที่และข้อมูลเชิงบรรยาย สามารถอ้างอิงถึงตำแหน่งที่มีอยู่จริงบนพื้นโลกได้โดยอาศัยระบบพิกัดทางภูมิศาสตร์ (Geocode) ซึ่งจะสามารถอ้างอิงได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ข้อมูลใน GIS ที่อ้างอิงกับพื้นผิวโลกโดยตรง หมายถึง ข้อมูลที่มีค่าพิกัดหรือมีตำแหน่งจริงบนพื้นโลกหรือในแผนที่ เช่น ตำแหน่งอาคาร ถนน ฯลฯ


ความสัมพันธ์ระหว่าง GIS กับ Web Service
เราสามารถพัฒนาระบบ GIS ให้เป็น Web Service เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการพัฒนาประเทศได้มากมายหลายระบบ เช่น ระบบช่วยตัดสินใจในการสร้างสาธารณูปโภค, ระบบช่วยในการวินิจฉัยโรคที่เกิดจากสภาพภูมิประเทศ, ระบบช่วยวิเคราะห์ข้อมูลด้านการเกษตร เป็นต้น
1. ระบบช่วยตัดสินใจในการสร้างสาธารณูปโภค
มีการเก็บข้อมูลจำนวนประชากรในพื้นที่ต่าง ๆ รวมทั้งจุดที่มีสาธารณูปโภคต่าง ๆ เช่น ประปา ไฟฟ้า ถนน โรงเรียน อนามัย ว่าเพียงพอกับประชาชนในพื้นที่หรือไม่ ควรสร้างอะไรเพิ่มเติมขึ้นบ้าง และการนำ web service มาใช้ก็อาจจะใช้นำข้อมูลที่มีอยู่เชื่อมต่อกับ Google Map เพื่อแสดงข้อมูลเชิงพื้นที่ โดยอาจจะดูภาพทั้งในแบบแผนที่ หรือ ดาวเทียม ซึ่งข้อมูลที่ได้ก็จะช่วยในการตัดสินใจของฝ่ายบริหารประเทศได้เป็นอย่างดี

2. ระบบช่วยในการวินิจฉัยโรคที่เกิดจากสภาพภูมิประเทศ
สำหรับงานด้านวิทยาศาสตรการแพทย์แล้วถือว่ามีประโยชน์อย่างมาก สำหรับข้อมูลที่ช่วยบอกได้ว่าในแต่ละพื้นที่นั้น ๆมักจะเกิดโรคอะไรได้บ้าง ข้อมูลตรงนี้ก็จะช่วยในเรื่องของการป้องกันและเตรียมพร้อมในการรักษาโรคที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ การนำ web service มาใช้ในการพัฒนาระบบ อาจจะมีการเชื่อมโยงข้อมูลกับศูนย์แพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคในพื้นที่นั้น ๆคอยออกบริการรักษาคนไข้ หากมีคนเจ็บป่วยก็สามารถที่จะเข้าไปรักษาได้อย่างทันท่วงที หรือ สามารถที่จะส่งข้อมูลคนไข้ เชื่อมกับระบบของคลีนิคเพื่อสั่งจ่ายยา และจัดส่งไปให้คนไข้ที่บ้านได้โดยไม่ต้องไปที่โรงพยาบาล
3. ระบบช่วยวิเคราะห์ข้อมูลด้านการเกษตร
ประเทศไทยถือได้ว่าเป็นประเทศเกษตรกรรมเสียส่วนใหญ่ การมีระบบที่ช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลด้านการเกษตรจะช่วยให้เกษตรกรสามารถที่จะรู้ได้ว่าพื้นที่ของตนนั้น ควรจะปลูกพืช หรือ ทำเกษตรเกี่ยวกับด้านใด ถึงจะได้ผลผลิตที่ดี สามารถบอกได้ว่าแต่ละพื้นที่มีดินประเภทใดบ้าง พืชที่เกิดหรือยู่ในได้ดีบนดินประเภทนั้นมีอะไรบ้าง ยกตัวอย่าง ต้นยางพาราสมัยก่อนมีความเชื่อว่าภาคอีสานไม่สามารถปลูกและโตได้ดี ก็เลยไม่มีเป็นที่นิยม และต้นยางพารางต้องใช้ระยะเวลานานในการเก็บเกี่ยวผลผลิตจากน้ำยาง หากไม่มีข้อมูลสารสนเทศที่เข้ามาช่วยก็ยากที่จะทำให้เกษตรกรทางภาคอีสานหันมาปลูกได้ แต่ในปัจจุบันเราเห็นแล้วว่าภาคอีสานนั้นปลูกยางได้ดีไม่แพ้ภาคอื่นเลย การพัฒนาระบบ GIS ตรงนี้ก็จะช่วยให้เกษตรสามารถที่จะตัดสินใจได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ เราสามารถที่จะพัฒนา Web Service ให้เชื่อมกับบริษัทภายนอกที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้านการเกษตรได้ หากเกษตรกรสนใจเพาะปลูกพืชก็เชื่อมกับระบบ e-commerce สั่งซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านั้นและชำระเงินผ่านะระบบ payment gateway ได้เลย เกษตรกรก็เพียงแค่รอรับสินค้าที่บ้าน เช่น การสั่งซื้อต้นยางมาปลูก เป็นต้น

ความเสี่ยงด้าน IT ของระบบ GIS ทั้ง 3 ระบบที่กล่าวมา
1. ความไม่พร้อมในการใช้งานระบบ อาจจะเกิดจากหลาย ๆสาเหตุ เช่น การขาดความรู้ความเข้าใจการใช้งานระบบ หรือ ระบบมีการใช้งานยาก ไม่ friendly เท่าที่ควร
2. ความน่าเชื่อถือและความแม่นยำของข้อมูล หากมีการให้ข้อมูลไม่ถูกต้องทำให้ระบบนำข้อมูลไปประมวลผลได้ไม่ถูกต้อง อาจจะสร้างความเสียหายกับผู้นำไปใช้งานได้
3. การถูกขโมยข้อมูล หรือ การถูกบุกรุกจากผู้ไม่ประสงค์ดี อาจจะเข้าไปสร้างความเสียหายให้กับข้อมูลในระบบได้ ควรมีการสร้างระบบกำหนดสิทธิ์ และ การเข้ารหัสข้อมูลที่จำเป็น
4. ข้อมูลด้านภูมิศาสตร์มีการเปลี่ยนแปลง อาจจะเกิดจากทั้งธรรมชาติ หรือ โดยมนุษย์ และระบบไม่มีการปรับปรุงข้อมูลใหม่ตาม
5. ไม่มีผู้รับผิดชอบ หากข้อมูลที่เก็บมาผิดพลาด เมื่อมีการใช้งานจริงควรกำหนดให้มีผู้รับผิดชอบ เพื่อให้สามารถสร้างระบบ GIS ที่ให้ข้อมูลสารสนเทศที่ถูกต้อง

Tuesday, September 10, 2013

การพัฒนาระบบ HRIS ให้เป็นลักษณะของ Web Service

ระบบ HRIS (Human Resource Information System) คือ กลุ่มของระบบงานที่ประกอบด้วยฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ที่ทำหน้าที่รวบรวม ประมวลผล วิเคราะห์ จัดเก็บและกระจายข้อมูล ข่าวสาร รายงาน ที่มีความถูกต้อง รวดเร็ว ตรงเวลาให้กับผู้ใช้เพื่อนำไปวิเคราะห์ สนับสนุนการตัดสินใจ การปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจ การควบคุมการบริหารทรัพยากรมนุษย์ภายในองค์กร และการปรับเปลี่ยนวิสัยทัศน์ในการบริหารงานของผู้บริหารในส่วนที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรมนุษย์ทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยโปรแกรมสำเร็จรูปที่มีการนำเข้าจากต่างประเทศ เช่น PeopleSoft, Oracle, SAP เป็นต้น เป็นโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นให้สอดคล้องกับความต้องการทั่วโลก

ระบบ HRIS อาจจะประกอบด้วยระบบย่อย ๆ ดังนี้
- ระบบงานวางแผนกาลังคน (Man Power Planning)
- ระบบงานทะเบียนประวัติ (Central Database)
- ระบบการตรวจสอบเวลา (Time Attendance)
- ระบบงานดานการคำนวณเงินเดือน (Payroll)
- ระบบประเมินผลการปฏิบัติงาน (Performance Evaluation)
- ระบบงานพัฒนาและฝึกอบรมบุคลากร (Training and Development)
- ระบบงานสวัสดิการต่าง ๆ (Welfare)
- ระบบการสรรหาบุคลากร (Recruitment)

การพัฒนา HRIS ให้เป็นลักษณะของ Web Service สามารถทำได้ดังนี้
ยกตัวอย่าง 5 Module ตามภาพประกอบ

ระบบสรรหาบุคลากร : e-Recruitment กระบวนการในการจัดหาหรือสรรหาอัตรากำลังคนอย่างมีประสิทธิผลและมีความรวดเร็ว โดยผ่านทางฐานข้อมูลที่ครอบคลุมซึ่งมีข้อมูลของผู้มีความสามารถทั้งภายใน และ ภายนอกองค์กร เช่น เชื่อมต่อกับเว็บ Jobdb.com เป็นต้น มีการตั้งค่าการแจ้งเตือนให้ทราบได้โดยทันที และกรองข้อมูล เพื่อให้ระบุการจับคู่ที่มีความเป็นไปได้ที่สุดสำหรับการเปิดรับพนักงานใหม่ อีกทั้งยังช่วยปรับปรุงความร่วมมือระหว่างแผนกทรัพยากรบุคคลกับผู้จัดการส่วนงานที่ว่าจ้างพนักงานนั้นด้วย โดยผ่านทางวิธีการที่คำนึงถึงการแจ้งความต้องการด้านทรัพยากรในด้านกระบวนการทำงาน
ระบบจัดการเวลา : e-Time กระบวนการติดตามการเข้าปฏิบัติงานในแต่ละวันของพนักงาน การมาสาย การขาดงาน การทำงานล่วงเวลา และเงินช่วยเหลือ และการหักลดที่เกี่ยวกับการเข้าปฏิบัติงานซึ่งจะเชื่อมต่อแบบอัตโนมัติกับระบบสแกนลายนิ้วมือ และนาฬิกาบันทึกการเข้าทำงาน การเลิกงานแบบอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ที่ใช้โดยฝ่ายบริหารในฐานะที่เป็นเครื่องมือในเชิงรุกสำหรับการกำหนดเวลาปฏิบัติงานของแผนก สำหรับใช้การปันส่วนต้นทุนค่าใช้จ่ายในด้านทรัพยากรต่างๆ และการวิเคราะห์ผลการปฏิบัติงาน
ระบบการจัดการการลาออนไลน์ : e-Leave กระบวนการที่พนักงานสามารถลาผ่านระบบออนไลน์ และหัวหน้าอนุมัติผ่านมือถือได้ จัดการข้อมูลสารสนเทศด้านการลาหยุด ออกของพนักงานลูกจ้างแต่ละคน คำขอลาหยุด ออก การอนุมัติ จะสามารถดำเนินการได้ง่าย ไม่ยุ่งยากโดยผ่านทางระบบ ออนไลน์ ซึ่งรวมอยู่กับ ระบบจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (email system) ซึ่งจะให้ข้อมูลเป็นแบบ real time เพื่อส่งต่อให้กับผู้จัดการสายการบังคับบัญชา และส่งให้กับแผนกทรัพยากรบุคคล (HR Department)
ระบบจัดการการฝึกอบรม : e-Training กระบวนการบริหารจัดการด้านการแจ้งความต้องการและงบประมาณในการฝึกอบรมสำหรับทุกแผนกงาน การจัดเก็บรักษาข้อมูลเกี่ยวกับการอบรมต่างๆ ที่จัดให้แก่พนักงาน โดยผ่านทางหลักสูตรต่างๆ ทั้งภายใน ภายนอก การเข้าร่วมอบรม ความสำเร็จในการจัดอบรม ซึ่งเชื่อมต่อกับระบบบริหารจัดการผลการปฏิบัติงานสำหรับสอบทานงานที่แล้วเสร็จในปีนั้นๆ และข้อมูลสารสนเทศที่สามารถนำมาใช้งานในการตัดสินใจได้
ระบบประเมินผลงาน : e-Performance กระบวนการประเมินสามารถที่จะกำหนดข้อมูลประวัติของแต่ละคนภายในแต่ละแผนก การประเมินรายบุคคล การให้คะแนนทั้งหมดและข้อเสนอแนะในการปรับปรุง โดยเชื่อมต่อกับการจัดทำเงินเดือนค่าจ้าง การอบรม และฐานข้อมูลพนักงาน ช่วยงานแผนกทรัพยากรบุคคลได้อย่างมีประสิทธิผล

Wednesday, September 4, 2013

ความสัมพันธ์ระหว่าง e-Learning กับ Web Service

e-Learning คือ การเรียนผ่านออนไลน์ ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนในโลกขอแค่มี internet ก็สามารถที่จะเข้าถึงการเรียนรู้ได้ ทำให้สามารถที่ขยายโอกาสทางการศึกษาไปยังพื้นที่ห่างไกลได้อย่างเท่าเทียมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งยัง ลดระยะเวลาการเดินทาง ลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆอีกด้วย ปัจจุบันก็มี Application ที่เป็น Opensource ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อช่วยในเรื่องการทำ e-Learning อีกด้วย หรือ เรียกอีกอย่างว่า LMS(Learning Management System) เป็นระบบจัดการการเรียนรู้ผ่าน internet ซึ่งปัจจุบันนิยมนำไปใช้กันทั่วโลก ตัวอย่างเช่น Moodle ซึ่งเป็นโปรแกรมที่มีสนับสนุนการจัดสารสนเทศด้านการศึกษาค่อนข้างครบสมบูรณ์

Web Service คือ เป็นกระบวนการที่จะให้ Application กับ Application สามารถที่จะคุยกันได้ ถึงแม้จะอยู่กันคนละ Platform หรือ พัฒนาจากคนละภาษาก็ตาม โดยการเขียนโปรแกรมในการเชื่อมโยงการติดต่อกับ web service สามารถทำได้ 2 วิธี คือ SOAP(Simple Object Access Protocol) และ REST(Representational State Transfer) ซึ่ง SOAP จะ​ต้อง​มีการส่งข้อ​ความ​ XML ​ตามรูปแบบที่กำ​หนด​ไว้​โดย​โปรโตคอล​ SOAP ​อีก​ทั้ง​ต้อง​มี​เอกสารอธิบายการเรียก​ใช้​เว็บเซอร์วิสประกอบ​ ​ซึ่ง​เอกสารที่อธิบายนี้​จะ​เขียน​โดย​ใช้​ภาษา​ WSDL(Web Services Description Language) ​ใน​แง่ของ​ผู้​เรียก​ใช้​ ​จะ​ต้อง​มีความเข้า​ใจเอกสารที่อฺธิบายการเรียก​ใช้​ SOAP Web services ​หรือ​มี​เครื่องมือที่​จะ​เข้า​ใจ​และ​เรียก​ใช้​ได้​อย่างถูก​ต้อง​ ​ใน​ขณะที่​ REST Web service ​จะ​เป็น​รูปแบบของซอฟต์​แวร์ที่มองว่าข้อมูลต่าง​ ​ๆ​ ​เป็น​ Resource ​ซึ่ง​เรา​สามารถ​เรียก​ใช้​ได้​ผ่านทางโปรโตคอล​ HTTP ​และ​ข้อมูลที่ส่งกลับมา​ให้​ผู้​ใช้​เป็น​ข้อมูลรูปแบบ​ XML ​ใด​ ​ๆ​ ​ก็​ได้​ ​ใน​แง่ของ​ผู้​เรียก​ใช้​ REST Web service ​ก็ขอเพียงแค่​ให้​ทราบ​ URL ​ของ​ REST Web service ​และ​การอ่านข้อมูล​ XML ​ก็​จะ​ดึงข้อมูลที่ตนเอง​ต้อง​การ​ได้แล้ว

ความสัมพันธ์ของ e-Learning กับ Web Service
การพัฒนา e-Learning ในปัจจุบันยังเป็นระบบไม่ได้มีการเชื่อมต่อไประบบ หรือ Application อื่น ๆ ภายนอก หากเราทำการพัฒนา Web Service เข้ามาช่วยในการให้ e-Learning หรือ LMS ต่าง ๆสามารถที่จะเชื่อมต่อกับ Web Service อื่น ๆ ก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนผ่าน e-Learning ได้ดียิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ระบบการเรียนออนไลน์ที่ต้องมีการชำระเงิน ถ้าไม่มีระบบ web service มาช่วยอาจจะต้องเดินทางไปธนาคารเพื่อไปชำระค่าลงทะเบียน แต่ถ้าหากว่าเราพัฒนาระบบ Web Service ให้สามารถชำระเงินผ่านช่องทางออนไลน์ โดยทำการเชื่อมต่อผ่านระบบ e-Banking หรือ Paypal ก็จะสร้างความสะดวกและลดเวลาที่ไม่จำเป็นไปได้มาก